วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สิงหนวัติกุมารโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าเทวกาล แห่งนครไทยเทศ หรือเมืองราชคฤห์ พร้อมด้วยพระขนิษฐาได้รับพระราชทานข้าวของ สมบัติ รี้พลมนตรีคนครัวแสนหนึ่ง แล้วก็เสด็จออกจากเมืองราชคฤห์ เมื่อพ.ศ. 430 ข้ามแม่น้ำสาระพู (แม่น้ำคงคา หรือ สาละวิน ) ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดินทางมาได้ 4 เดือน ก็ถึงบริเวณที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ อยู่ห่างแม่น้ำโขงประมาณ 5,000 วา บริเวณนี้เป็นแคว้นเมืองสุวรรณโคมคำมาก่อน ปีพ.ศ. 431 มีพญานาคชื่อว่าพันธุนาคราช เนรมิตตนเป็นพราหมณ์ เข้ามาพบเจ้าสิงหนวัติกุมารและกล่าวถามว่า ท่านเป็นลูกใคร มาจากเมืองไหน มาด้วยเหตุอันใด เจ้าสิงหนวัติกุมารกล่าวว่า เราเป็นลูกกษัตริย์องค์หนึ่ง ชื่อว่าเทวกาล เจ้าเมืองราชคฤห์ มาที่นี่เพื่อแสวงหาที่สร้างบ้านแปลงเมืองอยู่ นาคพราหมณ์ผู้นั้นจึงแนะนำให้เจ้าสิงหนวัติกุมาร ตั้งเมืองอยู่ที่นี่ บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรือง ข้าศึกใหญ่ น้อยก็เข้ามาตีได้ยาก และขอให้มีเมตตาบารมีแก่คนและสัตว์ทั้งหลายเทอญ เจ้าสิงหนวัติกุมาร ได้ไต่ถามนาคพราหมณ์ผู้นั้น ได้ความว่า ชื่อพันธุพราหมณ์ อยู่รักษาอาณาบริเวณนี้มาตั้งแต่ต้น แล้วก็ลาจากไป เจ้าสิงหนวัติกุมารใช้ให้บ่าว 7 คนตามไปดู ไปได้ไกล 1,000 วา พราหมณ์ผู้นั้นก็หายไป
ครั้นถึงตอนกลางคืน นาคพราหมณ์ผู้นั้นก็กลายร่างเป็นพญานาคแทรกตัวลงดิน แล้วยกขึ้นเป็นขอบเขตเมือง กว้างด้านละ3,000 วา แล้วก็กลับไปยังที่อยู่ของตน รุ่งเช้าเมื่อเจ้าสิงหนวัติกุมาร เห็นเช่นนั้นก็มีใจชื่นชม ยินดี จึงให้พราหมณ์อาจารย์ผู้ติดตามมาทำนายดู พราหมณ์อาจารย์บอกว่า เป็นพญานาคแสดงอิทธิฤทธิ์สร้างขึ้น หลังจากที่ได้สร้างเมืองเสร็จแล้ว พราหมณ์อาจารย์จึงนำเอาชื่อพญานาคพันธุและเจ้าสิงหนวัติกุมารมารวมกันเป็นชื่อเมืองว่า นาคพันธุสิงหนวัตินคร
เจ้าสิงหนวัติกุมารได้เป็นเจ้าเมืองนาคพันธุสิงหนวัตินครแล้ว ก็ได้แผ่บารมีรวบรวมหัวเมืองน้อยใหญ่ จากนั้นอีก 3 ปี จึงยกทัพไปปราบขอมและได้ชัยชนะต่อพระยาขอมเมืองอุโมงคเสลานคร หลังจากตั้งเมืองได้ 5 ปี ท่านก็ปราบได้ล้านนาไทยทั้งมวล อมาตย์มนตรี และพราหมณ์ทั้งหลาย ก็พร้อมกันอุสสาภิเษกเจ้าสิงหนวัติกุมารขึ้นเป็นเอกราชมหากษัตริย์ มีชื่อว่า “เจ้าพระยาสิงหนวัติราชกษัตริย์เจ้า “ตั้งแต่นั้นมา ถัดจากรัชสมัยของเจ้าสิงหนวัติแล้ว กษัตริย์องค์ต่อมา คือ โอรสของ
พระเจ้าสิงหนวัติ คือ พระยาพันธนติ ถัดจากพระยาพันธนติ ก็คือ พระยาอชุตราช และเมืองนี้ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็นเมือง โยนกนคร ไชยบุรีราชธานีศรีช้างแสน พระยาอชุตราชขอนางปทุมวดีจากกัมมโลฤาษี มาเป็นมเหสี ยุคนี้มีการสร้างพระธาตุดอยตุงและพระธาตุดอยกู่แก้ว กษัตริย์องค์ต่อมาคือ พระมังรายนราช โอรสชื่อไชยนารายณ์ไปตั้งเมืองใหม่ ชื่อไชยนารายณ์เมืองมูล เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแสนก็มีกษัตริย์ปกครองต่อๆ กันมาจนถึง พ.ศ.1469 จึงเสียแก่พระยาขอมแห่งเมืองอุโมงค์เสลานคร
กษัตริย์ของเมืองโยนกฯถูกขับให้ไปอยู่ที่เวียงสี่ทวง ที่นั้นพระองค์พังมีโอรสที่เก่งกล้า เมื่อพรหมกุมารอายุได้ 16 ปี ก็เสนอให้พระบิดาแข็งข้อต่อขอม และตัวเองเป็นแม่ทัพเข้าต่อสู้กับพวกขอม และสามารถขับไล่ขอมไปทางใต้จนถึงเขตเมืองลวรัฐ พระองค์พังได้กลับเป็นกษัตริย์ในโยนกนครไชยบุรีศรีช้างแสนอีกครั้งหนึ่ง ในปีพ.ศ.1480 พรหมกุมารต่อมาได้ตั้งเวียงไชยปราการ และเป็นกษัตริย์ครองเมืองนี้ เมื่อสิ้นพระองค์พรหมราชแล้วโอรส คือพระไชยสิริก็ได้ครองเมืองต่อมา เมื่อถูกทัพมอญคุกคามเข้ามา พระองค์ไชยสิริก็พาชาวเมืองอพยพ เมื่อ พ.ศ.1547 ลงไปทางใต้และไปตั้งเมืองอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร ตำนานสิงหนวัติกุมารยุติลง เมืองนาคพันธุสิงหนวัตินครก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแสน มีกษัตริย์เสวยเมืองต่อกันมา
จนถึงสมัยของพระองค์มหาไชยชนะ และในปี พ.ศ.1558 ชาวเมืองจับปลาตะเพียนเผือกยักษ์ (ควรเป็นปลาไหลเผือกยักษ์) จากแม่น้ำกกแล้วแบ่งกันกินทั่วเมือง และในคืนนั้นเมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแสนก็ล่มสลายลง กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ ขุนพันนาและนายบ้านทั้งปวงพร้อมใจกันเลือกนายบ้านผู้หนึ่งชื่อขุนลัง เป็นหัวหน้าของชนกลุ่มนั้นช่วยกันสร้างเวียงปรึกษาขึ้นที่ริมแม่น้ำโขงฝั่งตะวันตก และอยู่ทางตะวันออกของเวียงโยนกเดิม นับเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์กษัตริย์


ที่มา:http://www.vcharkarn.com/vblog/36503/40

1 ความคิดเห็น:

ไป่หลิน กล่าวว่า...

รู้สึกหลินจะไม่เจ้าชู้นะ 5 55

ตรงปะเนี่ยย - -

อยู่กันมาตั้งนาน เพิ่งจะรู้ว่าชื่อผึ้งน้อยโบยบิน

หลินหางานอังกิดไม่เจออะ

เรื่องน่ารู้เยอะมากเลยบล็อกนี้

^^ เริ่มสับสนทางเพศ เอ้ยยย..

ล้อเล่นจ้ะ อย่าลืมอัพบล็อกนะจ๊ะ

Happy new year น๊าา

มีความสุขมากๆละ