วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

9 เรืองลี้ลับในอวกาศ

9 เรืองลี้ลับในอวกาศ
เรื่องน่าขันเกี่ยวกับการค้นพบ คือว่ามันมักมีความลี้ลับใหม่ๆ ตามมาด้วย ปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เมื่อการพบในวิทยาศาสตร์อวกาศที่เด่นมากมาย สร้างปัญหาให้นักดาราศาสตร์ที่มองหาความหมาย ต่อไปนี้เป็น 10 เรื่องลี้ลับที่นักดาราศาสตร์กำลังครุ่นคิดใน พ.ศ.2546

1)พลังงานมืด ไม่มีใครทราบว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่มันเป็นการผลักดัน ขณะที่แรงโน้มถ่วงยึดสิ่งต่างๆ เข้าหากันในแต่ละแห่ง(ภายในดาราจักรและระหว่างดาราจักรในกระจุกดาราจักร) มีแรงที่ไม่รู้จักกำลังทำงานอยู่เบื้องหลังและทั่วเอกภพ เพื่อดึงให้ทุกสิ่งออกห่างจากกัน เพิ่งสังเกตกันได้ไม่นานมานี้ว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร็วเพิ่มขึ้นเมื่อไม่พบร่องรอยว่ามันคืออะไร
ก็เรียกมันว่าพลังงานมืด ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่าพลังงานมืดกำลังทำงานอยู่ การคำนวณได้ทำให้ดีขึ้น แรงผลักมีอิทธิพลต่อเอกภพ มี 65% มวลมืดหรือมวลสารมืด(dark matter) ที่แปลกและไม่สามารถเห็นได้มี 30% ของเอกภพ ทำให้เอกภพมีแค่ 5% ของมวลและพลังงานตามปกติ การขยายตัวด้วยความเร่งให้แนวคิดว่า ดาราจักรทั้งหมดจะมีชะตากรรมแบบไม่มีที่สิ้นสุด หาจุดจบไม่ได้

2)น้ำบนดาวอังคาร ดาวอังคารยังปกปิดความลี้ลับไว้ได้ ไม่เปิดเผยกันง่ายๆ มีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารหรือไม่? ใครจะตอบได้ถูก ในเมื่อนี่ยังเป็นคำถามของนาซ่าและนักวิทยาศาสตร์ดาวอังคาร แต่ก่อนตอบคำถามนี้มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำเหลวที่ชีวิตต้องการ
ทั้งๆ ที่มีการค้นพบสำคัญเกี่ยวกับน้ำแข็ง ในพ.ศ.2545 แต่ก็ไม่มีใครนึกภาพออกว่ามันอยู่ในสภาวะเหลวได้อย่างไร มีร่องรอยเมื่อเดือนธันวาคมเป็นริ้วรอยมืดบนผิวเป็นเกลือ และน้ำไหล แต่บรรดาผู้วชาญทั้งหลายไม่มั่นใจหรอก ตอนนี้ยานอวกาศโอเดเซย์(Odyssey ของนาซ่า) กำลังโคจรรอบดาวอังคาร จะตามล่าหลักฐานมาให้

3)ใจกลางทางช้างเผือก บางสิ่งบางอย่างกำลังถูกกลืนที่หลุมดำใจกลางดาราจักรทางช้างเผือก การเฝ้าดูดวงดาวโคจรรอบหลุมดำของทางช้างเผือก ดำเนินไปแม้เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นหลุมดำที่นั่น บริเวณรอบหลุมดำมีความกัมมันต์หรือความปั่นป่วนรุนแรง จากหอสังเกตการณ์จันทรา ที่แสดงแล้วเมื่อต้นพ.ศ.2545 แต่หลุมดำก็ไม่ได้สวาปามมวลมากพอจนคายรังสีเอกซ์พลังงานสูงอย่างที่เห็นในหลุมดำมวลมาก
พฤติกรรมของหลุมดำแสดงความแตกต่างมากมายจนนักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจการศึกษาเมื่อเดือนมกราคม 2545 บอกว่าหลุมดำ 2 หลุม รวมกันอาจทำตัวเหมือนเป็นสวิทช์ปิดเปิดของความเป็นกัมมันต์ มีประกาศการสังเกตการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายนแสดงหลุมดำ 2 หลุมกำลังรวมกัน จะต้องอธิบายความแตกต่างระหว่างหลุมดำแบบธรรมดาของเราและหลุมใหญ่ที่สว่างไสวรอบดาราจักรไกลๆ

4)กำเนิดของชีวิต มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่จะทำงานด้วยได้ โลกไม่ได้มีการบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนความคิดกว้างไกล ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เห็นกันว่าชีวิตสามารถอยู่รอดได้ด้วยการเดินทางจากดาวอังคารมายังโลก มันอยู่ในชิ้นส่วนที่หลุดจากดาวอังคารหลังถูกดาวเคราะห์น้อยชนเข้าให้
เมื่อพฤศจิกายนนี้พบว่าหินจากดาวอังคารมายังโลกราวเดือนละก้อน มีแมลงเล็กๆ ภายในฝุ่นของดาวหาง รายงานที่ได้รับการสนับสนุนเมื่อเดือนธันวาคมพบว่า มีสัตว์เล็กๆ จากอวกาศเข้ามาในบรรยากาศโลก นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าชีวิตบนโลกอาจอยู่ในซุปร้อนของสารชีวะเคมี ส่วนที่เป็นน้ำและสารอินทรีย์อาจมาจากอวกาศ โลกคงไม่ต่างจากเครื่องฟักไข่หรือเครื่องเพาะเชื้อ ชีวิตที่นี่อาจเริ่มต้นในที่ไกลแห่งใดแห่งหนึ่ง อาจเคยอยู่บนดาวอังคารหรืออยู่รอบๆ ดาวดวงอื่นมาก่อน

5)ความลับของดวงจันทร์ ไม่มีวัตถุท้องฟ้าในที่ใดที่จะศึกษาได้ดีกว่าดวงจันทร์ เราไปที่นั่น เลือกเฟ้น และนำหินกลับบ้าน แต่ดวงจันทร์ก็ยังคงเก็บความลี้ลับไว้มากมาย ที่ดูแปลกกว่าเก่า คือเรื่องหินบนดวงจันทร์ที่เคยเป็นของโลกมาก่อน มันหลุดออกจากโลกไปได้เมื่อหลายพันล้านปี เมื่อดาวเคราะห์น้อยชนโลกเข้าให้ ที่ๆ เก็บข้อมูลของโลกอยู่บนดวงจันทร์ ?!
ความพยายามเพื่อหาปริมาณ เมื่อเดือนกรกฎาคมพบ มวล 11,000 ปอนด์ จากโลกอยู่ห่างกันไม่กี่นิ้วตามพื้นผิวทุกตารางไมล์บนผิวดวงจันทร์ หินโลกบนดวงจันทร์น่าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของโลกได้ตอนโลกอายุยังน้อย บรรยากาศโลกและอาจเป็นกำเนิดของชีวิตด้วย ที่จะได้ข้อมูลนี้หาไม่ได้จากที่อื่นใดอีกนอกจากดวงจันทร์ เพราะโลกไม่เหมือนดวงจันทร์ ดวงจันทร์เงียบสงบไม่มีการเคลื่อนไหวภายใน
แต่โลกนำมวลจากภายในขึ้นมาที่ผิวใหม่ มีการพับหินดินที่เปลือกโลกเข้าไปข้างในและหลอมละลายเกินกว่าจะรับรู้ได้ ไม่มีใครแน่ใจว่าควรให้มวลของโลกอยู่ที่ดวงจันทร์นั่นต่อไป หรือควรเอามันกลับคืนมา การวิจัยครั้งใหม่นี้จะบังคับให้มนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ครั้งใหม่ จอห์น อาร์มสตรอง จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันบอกว่า นี่จะเป็นวิธีเร็วและถูกที่สุดที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับกำเนิดดาวเคราะห์และการเกิดระบบสุริยะทั้งหมด

6)เราโดดเดี่ยวหรือไม่ เราค้นพบดาวเคราะห์ของระบบดาวอื่นที่ใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจรใกล้ดาวของมันมากกว่าของระบบสุริยะของเรา ซึ่งเห็นว่าแปลก เราชักสงสัยว่าระบบสุริยะของเรามาตรฐานจริงหรือ? อย่างไรก็ตาม เมื่อมิถุนายนพบดาวเคราะห์ขนาดเท่าดาวพฤหัสบดีในวงโคจรรอบดาวอื่น
ตอนนี้มีความพยายามที่จะค้นหาดาวเคราะห์ขนาดเล็กกว่านั้น การศึกษาพ.ศ.2545 คาดว่ามีดาวเคราะห์เล็กๆ หลายพันล้านดวงโคจรรอบดาวทั้งหลาย สงสัยกันว่าจะมีดาวเคราะห์หินในวงโคจรคล้ายโลกของไหม? ความลี้ลับนี้คงพิสูจน์กันไม่ได้จนกว่าจะมียุคใหม่ของกล้องโทรทรรศน์อวกาศขึ้นโคจร การศึกษาพ.ศ. 2545 พบว่ามีโอกาสของสิ่งมีชีวิตนอกโลกบนดาวเคราะห์คล้ายโลก และ 1 ใน 3 นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่กำลังพูดถึงอีที ก็จะตื่นเต้นกันมากที่มีโอกาสจะพบจุลชีพ


7)ดวงอาทิตย์ปริศนา ถ้าอยากค้นหาอาชีพที่อนาคตสดใส น่าจะเลือกเป็นนักฟิสิกส์ดวงอาทิตย์ น่าประหลาดที่เรายังไม่เข้าใจไดนามิกส์ของดาวที่เราโคจรรอบ ตอนนี้ ภาพใหม่ของดวงอาทิตย์ใน พ.ศ.2545 มีรายละเอียดมากที่สุด เปิดเผยโครงสร้างที่คล้ายคลองจากบริเวณสว่างไปยังใจกลางจุดมืดของดวงอาทิตย์ โครงสร้างแปลกนี้ได้รับเชื้อเพลิงจากความร้อนมหาศาลและพลังงานสนามแม่เหล็ก แต่ถ้าจะไปให้ไกลกว่านั้น เช่นการกำเนิดยังเป็นความลี้ลับอยู่ ปรากฏการณ์พลศาสตร์และโครงสร้างบนดวงอาทิตย์ทั่วไปยังไม่เข้าใจ แม้สังเกตการณ์กันมานานมากแล้วก็ตาม

8)อายุของเอกภพ นักวิทยาศาสตร์เห็นด้วยกับวิธีการทั่วไป ว่าเอกภพเริ่มแรกวิวัฒนาการแบบใด แต่เขาเริ่มโต้เถียงกันเมื่อเห็นหัวข้อของอายุเอกภพ อายุของเอกภพราว 12-15 พันล้านปี แต่มีการทบทวนหรือการทำให้ละเอียดยิ่งขึ้นที่ประกาศเป็นระยะๆ ช่วงห่างกันไม่กี่เดือน
กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลให้อายุเอกภพเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 มีค่า 13-14 พันล้านปี เราบอกไม่ได้ว่าคำตอบสุดท้ายจะมีได้เมื่อไร แต่ก็หวังจะได้ใน พ.ศ. 2546 คำถามที่อยากให้ตอบมีว่า อะไรเกิดขึ้นตอนเริ่มต้นเอกภพ? อะไรเกิดก่อนขณะนั้น? นี่เป็นคำถามที่นักเอกภพศาสตร์จะโต้แย้งกันตลอดไป เพราะไม่มีการสังเกตการณ์ได้โดยตรง และไม่มีการพิสูจน์ใดๆ

9)ดาวเคราะห์หายไป 2 ดวง มีภาพน่าประหลาดใจเมื่อนักวิทยาศาสตร์เก่งสร้างภาพจำลองคอมพิวเตอร์ครั้งล่าสุด ใส่ทฤษฎีเก่าแก่ที่ยอมรับกันมาหลายทศวรรษ ที่บอกว่าระบบสุริยะของเราเกิดได้อย่างไร แต่แล้วคอมพิวเตอร์กลับให้แผนภาพที่มีแค่ดาวเคราะห์ 7 ดวง?! ดาวเคราะห์ที่หายไปคือยูเรนัสและดาวเนปจูน ปัญหาเกิดขึ้นเพราะแบบจำลองมาตรฐานของการเกิดดาวเคราะห์ต้องการมวลมาชนกันและยึดติดกันแน่นหลายล้านปี เมื่อแกนใหญ่เกิดขึ้น ก๊าซถูกดึงเพื่อสร้างดาวเคราะห์ใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ แต่ไกลกว่านั้นตรงที่เนปจูนและยูเรนัสอยู่
กลับไม่มีมวลมากพอจะสร้างดาวเคราะห์ใดได้ นักทฤษฎีอลัน บอสส์ จากสถาบันคาร์เนจีที่วอชิงตันให้ความคิดใหม่เรื่องกลไกที่สร้างดาวเคราะห์ยักษ์น้ำแข็ง บอสส์นึกภาพดาวเคราะห์ใหญ่ทั้งสี่ในระบบสุริยะของเรา ที่ไม่ได้มีวิวัฒนาการมาจากแกนหิน เมื่อใช้แบบจำลองมาตรฐาน แต่มันยุบตัวจากก้อนก๊าซใหญ่และก้อนฝุ่น การแก้ปัญหา บอสส์จำต้องให้ระบบสุริยะเริ่มแรกของเราอยู่ในส่วนอื่นของอวกาศ เขาเลือกบริเวณที่ดาวเกิดกันหนาแน่น บริเวณแบบนี้รังสีเหนือม่วงจากดาวดวงใกล้ๆ
แผ่ออกไปผลักมวลออกจากยูเรนัสและเนปจูนจนมีน้ำหนักน้อยลงเหลือเท่าที่เห็น ต่อมาระบบสุริยะได้เดินทางจากที่วุ่นวายนั้นมายังบริเวณในปัจจุบัน อันเป็นที่น่ารื่นรมย์ในดาราจักร ความคิดทั้งหมดดูดี แต่นักดาราศาสตร์อื่นสงสัย เรามีทฤษฎีเก่าแก่ที่ทำงานได้ไม่ดีนัก และมีทฤษฎีใหม่จากความคิดที่รุนแรงและกว้างไกล ในพ.ศ. 2546 ในขณะที่นักดาราศาสตร์บางคนกำลังยุ่งคอยมองหาดาวเคราะห์รอบดาวอื่นๆ บางคนก็พยายามหาว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้อย่างไร


ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1142579

ความเชื่อและเรื่องลี้ลับในรั้วจุฬาฯ

ความเชื่อ
เวลาต้องการพึ่งบารมีของเสด็จพ่อร.๕ ให้ขอ ไม่ให้บน (มีรุ่นพี่บอกมาอีกที)คอนเฟิร์มว่าขลังจริง อิฉันเคยขอเรื่องเรียนมาแล้ว (แต่ไม่ได้แก้ด้วยการวิ่งนะ แก้ด้วยการถวายดอกไม้แทน)แต่ห้ามขอหวยนะ(นิสิตคนไหนจะเล่นหวยฟะน่ะ)
เคยมีเคยขอเสด็จพ่อว่า หากได้เกรดเกิน 2.5 จะวิ่งรอบสนามหน้าพระรูปสิบรอบ สรุปปลายภาคมา ได้เกรด 2.51
คณะวิศวะฯ มีลานเรียกว่าลานเกียร์ หากใครสะดุดลานเกียร์จะมีแฟนเป็นเด็กวิศวะฯ (สาวบัญชีบางกลุ่มชอบไปเดินสะดุด)ส่วนอักษรฯมีความเชื่อว่า หากสาวคนไหนสะดุดพรมแดง (ตึกเทวาลัย) จะได้แฟนเป็น arts men
นิสิตป.ตรีที่กำลังศึกษาอยู่ห้ามถ่ายรูปเดี่ียวคู่กับพญานาค ที่หัวบันได ตึกมหาจุฬาฯ(ตึกที่สวยๆ ตรงข้ามหอประชุมจุฬาฯ) ไม่งั้นจะโดนรีไทร์ (แต่ถ้ารูปหมู่ก็ไม่เป็นไรนะ)
รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ถ้าเข้าตึกหนึ่งหน้าคณะ ห้ามเดินเข้าประตูกลาง ไม่งั้นจะเรียนไม่จบ
ห้ามลงบันไดกลางคณะครุศาสตร์(ฝั่งที่ตรงข้ามกับสาธิตฯและนิเทศฯ)ไม่งั้นไม่จบ
มีความเชื่อว่า หากได้ลอยกระทงกับคนที่ชอบที่สระน้ำ "จุฬาฯ" หน้าหอประชุม จะได้เป็นแฟนกัน แต่ถ้าเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ดันมาลอย... ก็จะเลิกกัน
ห้ามมองเต่าตรงบ่อน้ำที่อยู่แถวๆ โรงอาหารตึกจุลฯ ไม่งั้นเอนท์ไม่ติด (เจอทุกวันที่ข้ามไปฝั่งนู้นเลย)
ถ้าเห็นเต่าที่บ่อน้ำตรงหน้าตึก physics จะไม่ตกmean วิชา physics.. แต่ถ้าตะพาบก็...
ห้ามเหยียบคำว่า สถ. ที่ประตูกลางสถาปัตย์ฯ ไม่งั้นเรียนไม่จบ (แล้วไปไว้ที่พื้นทำไมล่ะพ่อคุณ)

เรื่องลึกลับ
ตึกอักษรฯเก่าจัดเลยเรื่องผีเยอะ ส่งผลให้ต้องทุบทิ้งไปแล้ว
สมัยยังใช้การตึก 2 นิเทศฯได้เต็มที่นั้น มีเรื่องเล่าว่า หลังสามทุ่มไปถ้าเดินลงบันไดเวียนจะลงมาเจอชั้นสามประมาณสี่ครั้ง (บรื๋อออ) แล้วตึกนิเทศฯก็โดนทุบอีกเช่นกัน
สมาชิกชมรมวาทะฯ ของวิศวะฯมักจะเจอประสบการณ์หลอนๆบ่อยที่สุด และเกือบทั้งหมดเกิดในห้องประชุมใหญ่ ที่ตึกสามของวิศวะฯ
ปีกอาคารเรียนชั้นสี่ ตึกสาม คณะวิศวะฯ หลังหกโมงเย็นแล้ว บรรยากาศจะน่ากลัวที่สุด ชนิดที่ว่า แค่ห้าโมงเย็นก็ไม่มีคนเดินแล้ว


ที่มา:http://www.dek-d.com/content/view.php?id=8927

อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง

อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง
ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ประวัติผู้แต่ง เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่๑ กับพระบรมราชินี ขึ้นครองราชย์เมื่อพุทธศักราช
๒๕๓๕ ซึ่งในยุคนี้ถือเป็นยุคทองของวรรณคดี
ลักษณะคำประพันธ์ กลอนบทละคร(กลอนแปดชนิดหนึ่ง)
ชื่อและลักษณะนิสัยตัวละคร
อิเหนา
อิเหนาหรือระเด่นมนตรี มีชื่อว่า หยังหยังหนึ่งหรัดอินดราอุดากันสาหรีปาติอิเหนาเองหยังตาหลาเมาะตาริยะกัดดังสุรศรี ดาหยังอริราชไพรี เองกะนะกะหรีกุเรปัน เป็นโอรสของท้าวกุเรปันและประไหมสุหรีนิหลาอระดา อิเหนาเป็นชายรูปงาม มีสเน่ห์มีนิสัยเจ้าชู้ มีความเชี่ยวชาญในการใช้กริชและกระบี่เป็นอาวุธ อิเหนามีมเหสี ๑๐ องค์ ได้แก่
๑. จินตะหราวาตี มีตำแหน่งเป็น ประไหมสุหรีฝ่ายขวา
๒. บุษบาหนึ่งหรัด ” ประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย
๓. สะการะวาตี ” มะเดวีฝ่ายขวา
๔.มาหยารัศมี ” มะเดวีฝ่ายซ้าย
๕. บุษบาวิลิศ ” มะโตฝ่ายขวา
๖. บุษบากันจะหนา ” มะโตฝ่ายซ้าย
๗. ระหนาระกะติกา ” ลิกูฝ่ายขวา
๘. อรสา ” ลิกูฝ่ายซ้าย
๙. สุหรันกันจาส่าหรี ” เหมาหลาหงีฝ่ายขวา
๑๐. หงยาหยา ” เหมาหลาหงีฝ่ายซ้าย
ตัวอย่าง นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา
จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสะกระวาตี
แขกเต้าจับเต่าร้อง เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี
นกแก้วจับแก้วพาที เหมือนแก้วพี่ทั้งสามสั่งความมาฯ

จินตะหรา
เป็นธิดาของระตูหมันหยากับประไหมสุหรีชื่อสุหรีจินดาส่าหรี แห่งเมืองหมันหยา รูปโฉมงดงาม มีนิสัยเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเองแสนงอน ช่างพูดประชดประชัน บางครั้งก็ก้าวร้าวหยาบคาย จนแม้แต่อิเหนาเองยังนึกรำคาญใจ
ตัวอย่าง เมื่อนั้น จินตะหราวาตีมีศักดิ์
ฟังตรัสขัดแค้นฤทัยนัก สะบัดพักตร์ผินหลังไม่บังคม
แล้วตอบถ้อยน้อยหรือพระทรงฤทธิ์ ช่างประดิษฐ์คิดความพองามสม
ล้วนกล่าวแกล้งแสร้งเสเล่ห์นิยม คิดคมแยบคายหลายชั้น

ท้าวกุเรปัน
เป็นกษัตริย์ครองกรุงกุเรปัน มีมเหสี ๕ องค์ ตามประเพณี มีประไหมสุหรีชื่อนิหลาอระตา ท้าวกุเรปัน ท้าวกุเรปันมีโอรสองค์แรกกับลิกูชื่อ กะหรัดตะปาตี และมีโอรสธิดากับประไหมสุหรีคือ อิเหนาและวิยดา ท้าวกุเรปันมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก ๓ องค์ ซึ่งเป็นกษัตริย์ของเมืองต่างๆ คือ ท้าวดาหา ท้าวกาหลัง และท้าวสิงหัดส่าหรี ท้าวกุเรปัน ทรงหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของวงอสัญแดหวา จึงไม่พอใจมาก ที่อิเหนาไปมีความสัมพันธ์กับจินตะหรา
ตัวอย่าง ในลักษณ์อักษรสารา ว่าระตูหมันหยาเป็นผู้ใหญ่
มีราชธิดายาใจ แกล้วให้แต่งตัวไว้ยั่วชาย
จนลูกเราร้างคู่ตุหนาหงัน ไปหลงรักผูกพันหมั้นหมาย
จะให้ชิงผัวเขาเอาเด็ดดาย ช่างไม่อายไพร่ฟ้าประชาชน

ท้าวดาหา
กษัตริย์ครองกรุงดาหา มีมเหสี ๕ องค์ ประไหมสุหรีชื่อ ดาหราวาตี ท้าวดาหามีโอรสธิดากับประไหมสุหรีคือบุษบาและสียะตรา ท้าวดาหาเป็นผู้มีใจยุติธรรมโดยทรงยินยอมให้จินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวา ซึ่งใหญ่กว่าบุษบาที่เป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวา
ตัวอย่าง อันอะหนะบุษบาบังอร ครั้งก่อนจรกาตุหนาหงัน
ได้ปลดปลงลงใจให้ปัน นัดกันจะแต่งการวิวาห์
ซึ่งจะรับของสู่ระตูนี้ เห็นจะผิดเห็นจะผิดประเพณีหนักหนา
ฝูงคนทั้งแผ่นดินจะนินทา สิ่งของที่เอามาจงคืนไป
ท้าวกะหมังกุหนิง
ผู้ครองเมืองกะหมังกุหนิง มีน้อง ๒ คน คือ ระตูปาหยัง และระตูประหมัน และมีโอรสชื่อ วิหยาสะกำซึ่งเป็นโอรสที่พระองค์ และมเหสีรักดังแก้วตาดวงใจ เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงทราบว่าวิหยาสะกำคลั่งไคล้นางบุษบาธิดาของท้าวดาหา ซึ่งสิ่งที่เห็นเป็นเพียงรูปวาดเทานั้น พระองคืก็แต่งทูตไปขอนางทันที ครั้นถูกปฏิเสธ ท้าวกะหมังกุหนิงจึงโกรธมาก และยกทัพไปตีกรุงดาหาเพื่อแย่งนางบุษบามาให้วิหยาสะกำ แม้น้องทั้งสองจะทัดทาน แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดโดยประกาศว่าจะยอมตายเพื่อลูก
ตัวอย่าง แม้นวิหยาสะกำมอดม้วย พี่ก็คงตายด้วยโอรสา
ไหนไหนในจะตายวายชีวา ถึงเร็วถึงช้าก็เหมือนกัน
ผิดก็ทำสงครามดูตามที เคราะห์ดีก็จะได้ดั่งใฝ่ฝัน
พี่ดังพฤกษาพนาวัน จะอาสัญเพราะลูกเหมือนกล่าวมาฯ

วิหยาสะกำ
โอรสของท้างกะหมังกุหนิง ซึ่งเกิดจาดประไหมสุหรี วิหยาสะกำมีฝีมือในการใช้ทวนเป็นอาวุธ และเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหวมาก
ตัวอย่าง เมื่อนั้น วิหยาสะกำใจกล้า
ได้ฟังคั่งแค้นแทนบิดา จึงร้องตอบวาจาไป
สังคามาระตา
โอรสของระตูปรักมาหงัน และเป็นน้องของมาหยารัศมี สังคามาระตาเป็นหนุ่มรูปงาม มีความเฉลียวฉลาด รอบคอบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ เก่ง และกล้าหาญ ทั้งยังมีความซื่อสัตย์ และชำนาญในการใช้ทวนเป็นอาวุธ เป็นคู่คิดคู่ปรึกษาและช่วยเตือนสติอิเหนาได้หลายครั้ง
สุหรานากง
โอรสของท้าวสิงหัดส่าหรีที่เกิดจากประไหมสุหรี พระบิดาได้สู่ขอสะการะหนึ่งหรัด ธิดาท้าวกาหลังให้เป็นคู่ตุหนาหงันตั้งแต่เด็ก สุหรานากงปฏิบัติตนเป็นลูกที่ดีอยู่ในโอวาทของพระบิดาและพระมารดาอยู่เสมอ มีความกล้าหาญ และวางตนได้ย่างเหมาะสม
ตัวอย่าง เมื่อนั้น สุหรานากงวงศา
ก้มกราบทูลสนองพระบัญชา ข้ามาแจ้งข่าวที่กลางคัน
พระปิ่นภพกุเรปันธานี ให้กะหรัดตะปาตีเป็นทัพขันธ์
ยกจากเวียงชัยได้หลายวัน บรรจบกับระเด่นมนตรี
ระตูหมันหยา
โอรสของท้าวมังกัน พระบิดาได้ขอตุหนาหงัน ระเด่นจินดาส่าหรี ธิดาองค์สุดท้ายของระตูหมันหยาซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เมื่อแต่งงานกัน พระมารดาของระเด่นจินดาส่าหรีได้อภิเษกให้ครองเมืองหมันหยา โดยให้ระเด่นจินดาส่าหรีเป็นประไหมสุหรี ระตูหมัยหยาและประไหมสุหรีจินดา มีธิดาเพียงองค์เดียว คือจินตะหราวาตี ระตูหมันหยามีจิตใจอ่อนแอ ไม่มีความเป็นนักสู้
ตัวอย่าง ทรงอ่านสารเสร็จสิ้นเรื่อง กลัวจะเคืองขุ่นข้องหมองศรี
จึงยืนสารให้ระเด่นมนตรี แล้วมีพจนารกวาจา
เห็นงามอยู่แล้วหรือหลานรัก เจ้าหาญหักไม่ฟังคำข้า
มาพลอยได้ความผิดด้วยนัดดา เมื่อกระนี้จะว่าประการใดฯ
ประสันตา
เป็นพี่เลี้ยงหนึ่งในสี่ของอิเหนา ซึ่งท้าวกุเรปันเลือกแต่ครั้งอิเหนาประสูติใหม่ๆ บิดาของประสันตาเป็นเสนาบดีตำแหน่งยาสา(ฝ่ายตุลาการ) ของกุเรปัน ประสันตามีนิสัยตลก คะนอง ปากกล้า เจ้าอารมณ์ ชอบพูดเย้าแย่เสียดสีผู้อื่นอยู่เสมอ และยังเจ้าเล่ห์อีกด้วย
ตัวอย่าง บัดนั้น ประสันตาแสนกลคนขยัน
ทำตกใจทูลองค์พระทรงธรรม์ ข้าสำคัญมั่นคงอยู่ดงนี้
ด้วยช้างบาทย่างที่สะเทิน เดินเกินตำบนมาพ้นที่
เขาว่าดงหน้าก็ยังมี ถึงจะชี้เชิญให้ทัศนาฯ

ข้อคิดและคติธรรมของเรื่อง
๑. การใช้อารมณ์ ในชีวิตของคนนั้นย่อมต้องพบกับเรื่องที่ทำให้เราโมโหหรือทำอารมณ์ไม่ดี ซึ่งเมื่อเป็นดังนั้น เราควรจะรู้จักควบคุมตนเอง เพราะเมื่อเราโมโหจะขาดสติยั้งคิด และอาจทำอะไรตามใจตนเอง ซึ่งอาจผิดพลาดและอาจทำให้เกิดปัญหา ฉะนั้นจึงต้องควบคุมตนเองให้ได้
๒. การใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา โดยปกติแล้ว เรามีปํญญาควรใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหา ถ้าใช้กำลังในการแก้ปัญหานั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องทำให้เกิดผลเสียตามมา และอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
๓. การกระทำอะไรโดยไม่คิดหรือคำนึงถึงผลที่ตาม การที่จะทำอะไรควรคิดให้ดีก่อนว่าถูกหรือไม่ และทำไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วผลนั้นทำให้ผู้อื่นเดือดหรือไม่ การทบทวนก่อนจะทำให้ลดการเกิดปัญหาที่จะเกอดขึ้นและแก้ไขปัญหาได้ทัน
ประโยชน์และคุณค่าที่ได้จากเรื่อง
¤ ด้านวรรณศิลป์
ตัวอย่างเช่น ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไม้อึงมี่
เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา
จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสะกระวาตี
แขกเต้าจับเต่าร้างร้อง เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี
นกแก้วจับแก้วพาที เหมือนแก้วพี่ทั้งสามสั่งความมา
ตระเวนไพรร่อนร้องตระเวนไพร เหมือนเวรใดให้นิราศเสน่หา
เค้าโมงจับโมงอยู่เอกา เหมือนพี่นับโมงมาเมื่อไกลนาง
คับแคจับแคสันโดษเดี่ยว เหมือนเปล่าเปลี่ยวคับใจในไพรกว้าง
ชมวิหกนกไม้ไปตามทาง คะนึงนางพลางรีบโยธีฯ
ซึ่งความงานด้านวรรณศิลป์ตรงนี้ เป็นการที่กวีเห็นสิ่งรอบตัวแล้วเปรียบเทียบกับนางอันเป็นที่รักอาศัยการเล่นคำ เป็นสื่อถ่ายทอดออกมา ทำให้เกิดความไพเราะ และมีความหมายลึกซึ้งยิ่งขึ้นแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกเศร้าสร้อยของอิเหนาที่ต้องพรากจากผู้หญิงที่รัก ๓ คน
เล่นคำ เบญจวรรณ - วัน (เบญจวรรณ คือ นกแก้วขนาดโต)
นางนวล - นวลสมร (นวลสมร คือ คนรัก)
จากพราก – จาก (จากพราก คือ นกเป็ดน้ำ)
เต่าร้าง – ร้าง (เต่าร้างคือ ต้นไม้ชนิดหนึ่ง)
นกแก้ว – แก้วพี่ (แก้วพี่ คือ นางอันเป็นที่รัก)
ตระเวรไพร – เวร (ตระเวรไพร คือ นกชนิดหนึ่ง)
เค้าโมง – โมง (เค้าโมง คือ นกชนิดหนึ่ง)
คับแค – คับใจ (คับแค คือ นกชนิดหนึ่ง)
¤ ด้านเนื้อเรื่อง
ที่มีโครงเรื่องสนุก เนื่อเรื่องสำคัญคือ อิเหนาหลงรักนางจินตะหรา ทั้งที่ตนมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งก็คือบุษบา ทำให้เกิดปัญหาต่างๆที่ทำให้เนื่อเรื่องน่าติดตามมากขึ้น
¤ ด้านความรู้
สังคมและวัฒนธรรมไทย ร.๒ ทรงสร้างฉากในเรื่องให้เป็นสังคม วัฒนธรรม บ้านเมืองไทย ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสังคม และวัฒนธรรมไทยในราชสำนัก และชาวบ้านหลายประการ
¤ ด้านการละครและศิลปกรรม
Ø อิเหนาเป็นเรื่องยอดของละครรำ เพราะใช้คำประณีต แต่งตัวงดงาม บทเพลงขับร้องและเพลงหน้าพาทย์กลืนกับเนื้อเรื่องและท่ารำ
Ø วงดนตรีไทยนำยมนำกลอนจากเรื่องอิเหนาไปขับร้องกันมาก เช่น ตอนบุษบาเสี่ยงเทียน และตอนประสันตาต่อนก
เป็นต้น
Ø การช่างไทย ผู้อ่านจะได้เห็นศิลปะการแกะลวดลายการปิดทองส่องชาดและลายกระหนกที่งดงามของศิลปะไทย
คำศัพท์
กระยาหงัน สวรรค์
กะระตะ กระตุ้นให้เดินหรือวิ่ง
กั้นหยั่ง อาวุธสำหรับเหน็บติดตัว ใบมีดตั้งแต่กั่น (ส่วนที่ถัดจากโคนอาวุธสำหรับหยั่ง ลงในด้ามอาวุธ) ถึงปลายนั้นเท่ากัน มีคมทั้งสองข้าง
กลเม็ด ปุ่มที่ฝักอาวุธเช่นกั้นหยั่นสำหรับคล้องห่วงเพื่อยึดตัวอาวุธไว้กับฝัก เมื่อจะ
ชักออกมาจึงจะปลดห่วงที่คล้องออกจากปุ่มนั้น
กิริณี ช้าง
แก้วพุกาม แก้วมีค่าจากเมืองพุกาม
เขนงปืน เขาสัตว์ที่ใช้ใส่ดินปืน
โขลงทวาร ประตูป่า เมื่อจะออกศึกมีการทำพิธีตามตำราพราหมณ์เพื่อความเป็นชัยมงคล
โดยทำเป็นประตูสะด้วยใบไม้สองข้างประตูมีพราหมณ์นั่งประพรมน้ำมนต์ให้
ทหารเดินลอดประตู
งาแซง ไม้เสี้ยวปลายแหลม วางเอนเรียงลำดับสำหรับป้องกันข้าศึก
ชักปีกกา จัดทับให้มีกองขวาและกองซ้ายคล้ายปีกกา
ดวงยิหวา ดวงชีวาหรือดวงใจ หมายถึงผู้เป็นที่รัก
ยิ่งดัสกร ศัตรู
ตุหนาหงัน หมั้น
ประเสบัน ตำหนัก
ปักหมาหงัน เมืองของระตูผู้เป็นบิดา
มุรธาวารีภิเษก น้ำที่ผ่านพิธีกรรมเพื่อทำให้ศักดิ์สิทธิ์
วิหลั่น ค่ายที่ทำให้ขยับรุกเข้าไปหาข้าศึกที่ละน้อยๆ ใช้ว่า ปิหลั่น ก็มี
เสาตะลุง เสาใหญ่สำหรับผูกช้าง
อะหนะ ลูก
อาสัตย์ ไม่ซื่อตรง
อึงอุตม์ เสียงดังมาก

ถอดความเรื่องนิราศนรินทร์

ถอดความเรื่องนิราศนรินทร์
ผู้แต่ง นายนรินทร์ธิเบศ(อิน)

๑. ศรีสิทธิ์พิศาลภพ
เลอหล้าลบล่มสวรรค์
จรรโลงโลกกว่ากว้าง
แผนแผ่นผ้างเมืองเมรุ
ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า
แจกแสงจ้าเจิดจันทร์
เพียงรพิพรรณผ่องด้าว
ขุนหาญห้าวแหนบาท
สระทุกข์ราษฎร์รอนเสี้ยน
ส่ายเศิกเหลี้ยนล่งหล้า
ราญราบหน้าเภริน
เข็ญข่าวยินยอบตัว
ควบค้อมหัวไหว้ละล้าว
ทุกไทน้าวมาลย์น้อม
ขอออกอ้อมมาอ่อน
ผ่อนแผ่นดินให้ผาย
ขยายแผ่นฟ้าให้แผ้ว
เลี้ยงทแกล้วให้กล้า
พระยศไท้เทิดฟ้า
เฟื่องฟุ้งทศธรรม
ท่านแฮ
โคลงบทที่1
ขอความดีงามจงบังเกิดแก่แผ่นดินอันกว้างใหญ่ และประเสริฐยิ่งกว่าดินแดนในโลก จนอาจข่มสวรรค์แผ่นดินนั้นเปรียบดังเมืองสวรรค์ ณ ยอดเขาพระสุเมรุ และเป็นที่ค้ำจุนโลกอันกว้างใหญ่ แผ่นดินที่กล่าวถึงนี้คือกรุงศรีอยุธยาอันเรืองรุ่งโรจน์จับฟ้า และความสว่างรุ่งเรืองนั้นแจ้มแจ้งยิ่งกว่าแสงเดือน จะเปรียบได้ก็กับแสงตะวัน พระนครศรีอยุธยามีเสนาอำมาตย์คอยพิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงขจัดความทุกข์ของประชาราษฎร และทำลายข้าศึกให้สิ้นไป จนตลอดโลกก็ราบคาบเรียงดังหน้ากลอง บรรดาศัตรูเสี้ยนหนามเพียงได้ยินชื่อกรุงศรีอยุธยาก็พากันน้อมตัวกราบไหว้อยู่กันไสว เพราะความยำเกรงบรรดาเจ้าเมืองต่างๆก็ส่งดอกไม้เครื่องราชบรรณการมาถวายแด่พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาอันพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยานั้นได้ทรงขยายพระราชอาณาเขตให้กว้างขวางออกไป ทรงจัดให้บ้านเมืองมีความสุขสงบราบคาบ พระองค์ก็ทรงทำนุบำรุงบรรดาทวย
๒. อยุธยายศล่มแล้ว
ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร
เจิดหล้า
บุญเพรงพระหากสรรค์
ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
บังอบายเบิกฟ้า
ฝึกฟื้นใจเมืองโคลงบทที่2
กรุงศรีอยุธยาล่มสลายไปจากการเสียกรุง แต่ก็มีเมืองล่องลอยมาจากสวรรค์อันมีพระที่นั่งสถูปแก้วอันสวยงามด้วยบุญบารมีที่สั่งสมของพระเจ้าแผ่นดินก็ได้ทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เปิดทางให้บ้านเมืองไปสู่ความดีงามและยังฟื้นเมืองให้ตื่นจากการหลับใหลหลังจากการเสียกรุง
๓.เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น
พันแสง
รินรสพระธรรมแสดง
ค่ำเช้า
เจดีย์ระดะแซง
เสียดยอด
ยลยิ่งแสงแก้วเก้า
แก่นหล้าหลากสวรรค์โคลงบทที่3
ความรุ่งเรืองของศาสนานั้นมีมากไปทั่วยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ ผู้คนได้รับพระธรรมจากการฟังธรรมอยู่เป็นประจำ เจดีย์มากมายได้ถูกสร้างขึ้นสูงตระหง่านฟ้ายอดเจดีย์สวยงามยิ่งกว่าแสงนพเก้า เสมือนเป็นหลักแห่งโลกและเป็นที่มหัศจรรย์แห่งสรวงสวรรค์
๔. โบสถ์ระเบียงมรฑปพื้น
ไพหาร
ธรรมาสน์ศาลาลาน
พระแผ้ว
หอไตรระฆังขาน
ภายค่ำ
ไขประทีปโคมแก้ว
ก่ำฟ้าเฟือนจันทร์โคลงบทที่4
โบสถ์ วิหาร ระเบียง ธรรมาสน์และศาลาต่างๆนั้น กว้างใหญ่ขยายไปถึงสวรรค์ หอพระไตรปิฎก เสียงระฆังในหอระฆังยามพลบค่ำ และแสงตะเกียงจากโคมอันมากมายนั้นสามารถทำให้แสงจันทร์สว่างน้อยลง
โคลงบทที่8
เมื่อจำต้องจากนางอันเป็นที่รักไปด้วยความอาลัยเหมือนกับต้องปลิดหัวใจของตนออกไปกับนาง ถ้าหากว่าดวงใจสามารถแบ่งออกได้ก็จะผ่าออกป็นสองซีก ซีกหนึ่งจะเก็บไว้กับตนเอง แต่อีกซีกหนึ่งจะมอบให้นางรักษาไว้
๑๐. โฉมควรจักฝากฟ้า
ฤาดิน ดีฤา
เกรงเทพไท้ธรณินทร์
ลอบกล้ำ
ฝากลมเลื่อนโฉมบิน
บนเล่า นะแม่
ลมจะชายชักช้ำ
ชอกเนื้อเรียมสงวนโคลงบทที่10
จะฝากนางไว้กับฟากฟ้าหรือผืนดินดี เพราะกลัวว่าพระเจ้าแผ่นดินจะมาลอบเชยชมนาง จะฝากนางไว้กับสายลมช่วยพัดพานางบินหนีไปบนฟ้า แต่ก็กลัวลมพัดทำให้ผิวนางมีรอยช้ำ
โคลงบทที่11
จะฝากนางไว้กับใครดี จะฝากนางไว้กับนางอุมาหรือชายาพระนารายณ์ ก็เกรงว่าจะเข้าใกล้ชิดนาง พี่คิดจนสามโลกจะล่วงลับไปก็คิดว่าจะฝากนางไว้ในใจตนเองดีกว่าฝากไว้กับคนอื่น
โคลงบทที่22
เดินทางมาโดยทางน้ำล่วงหน้ามาจนถึงตำบลบางยี่เรือ ขอให้เรือแผงช่วยพานางมาด้วย แต่บางยี่เรือไม่รับคำขอน้ำตาพี่จึงไหลนอง
โคลงบทที่37
เดินทางต่อไปจนถึงตำบลบางพ่อ ซึ่งน้ำแห้งเหือดจนมองไม่เห็น มีแต่บ่อน้ำตาที่คงเต็มไปด้วยเลือด พี่ก็อยากให้นางผู้มีความงาม๕ประการมาซับน้ำตาพี่แล้วค่อยจากไป
โคลงบทที่41
เห็นต้นแตกจากกิ่งก้านสลับกับต้นระกำ ทำให้ชอกช้ำระกำใจว่าเคยเป็นเวรกรรมที่คงเคยทำกันมาทำให้เราต้องจากกันไกล ขอให้ครั้งหน้าเราคงได้อยู่ร่วมกัน
๔๕. ชมแขคิดใช่หน้า
นวลนาง
เดือนดำหนิวงกลาง
ต่ายแต้ม
พิมพ์พักตร์แม่เพ็ญปราง
จักเปรียบ ใดเลย
ขำกว่าแขไขแย้ม
ยิ่งยิ้มอัปสรโคลงบทที่45
เป็นการเปรียบเทีนบของหน้านางกับดวงจันทร์ แต่ดวงจันทร์มีรอยตำหนิเป็นรอยกระต่าย แต่ใบหน้าของน้องนางสวยงามไม่มีตำหนิไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบ เพราะใบหน้าของน้องงามกว่าดวงจันทร์ ยิ่งมองยิ่งงามกว่านางฟ้า
๑๑๘. ถึงตระนาวตระหน่ำซ้ำ
สงสาร อรเอย
จรศึกโศกมานาน
เนิ่นช้า
เดินดงท่งทางละหาน
หิมเวศ
สารสั่งทุกหย่อมหญ้า
ย่านน้ำลานางโคลงบทที่118
เดินทางมาถึงตะนาวศรีความโศกเศร้าก็กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามา ความโศกเศร้าที่จากนางไม่ว่าจะเดินผ่านทุ่งนา ป่า ท้องน้ำ หรือสถานที่ใด ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ ก็สามารถสั่งความไปถึงน้ำได้ตลอด
๑๒๒. พันเนตรภูวนาถตั้ง
ตาระวัง ใดฮา
พักตร์สี่แปดโสตฟัง
อื่นอื้อ
กฤษณนิทรเลอหลัง
นาคหลับ ฤาพ่อ
สองพิโยคร่ำรื้อ
เทพท้าวทำเมินโคลงบทที่122
ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ ผู้มีพันตา ผู้เฝ้าดูระวังโลก พระพรหมผู้มีสี่หน้าแปดหูที่คอยฟังสรรพเสียงใดๆ หรือจะเป็นพระนารายณ์ที่บรรทมอยู่หลังนาค เมื่อเราทั้งสองต้องพลัดพลากจากกัน เราสองคร่ำครวญอยู่ซ้ำซากแต่เทพพระองค์ก็ไม่สนใจ
โคลงบทที่134
แม่น้ำทั้ง 4 สายก็เหือดแห้ง เหล่าปลาใหญ่ มังกร พญานาคต่างพากันหาที่ซ้อนตัว แม้แต่หยาดฝน หยุดฝนก็ไม่มีสักหยด แดดก็ร้อนแต่ถึงแม้กายจะร้อนแต่ก็ไม่ร้อนเท่าใจของพี่
โคลงบทที่138
ลมที่พัดมาต้องอก(กาย)นั้นดังหนึ่งพิษ
ความหนาวกลุ้มอยู่ในนอกรู้สึกช้ำใจ
อ้า...น้องผู้ประหนึ่งพวงดอกไม้อันงามของข้า
น้องพัดให้ครั้งเดียวก็รู้สึกเย็นยิ่งกว่าลมพัด
โคลงบทที่139
ในอกของพี่นั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะระบายออกมาบรรยายให้น้องได้ทราบความรู้สึกของพี่นั้นมากมาย ดังนั้นพี่จึงเอาเขาสุเมรุมาเป็นปากกา เอามหาสมุทรเป็นน้ำหมึก แล้วเขียนเป็นตัวหนังสือในอากาศเป็นแผ่นกระดาษ จารึกลงไปก็ยังไม่พอ เพราะความรู้สีกของพี่นั้นมีมาก ผู้เลอโลมลงมาจากฟ้า จะรับรู้สึกในใจของพี่หรือไม่
๑๔๐. ตราบขุนคิริข้น
ขาดสลาย แลแม่
รักบ่หายตราบหาย
หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย
จากโลก ไปฤา
ไฟแล่นล้างสี่หล้า
ห่อนล้างอาลัยโคลงบทที่140
ภูเขาพังทลาย สวรรค์๖ชั้น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ จะหายไปในโลก ความรักของพี่นั้นก็ไม่หายไป ถึงไฟมาผลาญ ล้างทวีปทั้ง4 ก็สามารถล้างความอาลัยของพี่ได้
โคลงบทที่141
พี่ได้คร้ำครวญถึงความรักของพี่จนสั่นกึกก้องทั้งแผ่นดินและท้องฟ้า เป็นข้อความที่บรรยายถึงความโศกเศร้าของพี่ ข้อความเหล่านั้นขอให้น้องรับไว้เป็นต่างหน้าให้นึกถึงอดีตระหว่างเรา ผู้แต่ง นายนรินทร์ธิเบศ(อิน)

๑. ศรีสิทธิ์พิศาลภพ
เลอหล้าลบล่มสวรรค์
จรรโลงโลกกว่ากว้าง
แผนแผ่นผ้างเมืองเมรุ
ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า
แจกแสงจ้าเจิดจันทร์
เพียงรพิพรรณผ่องด้าว
ขุนหาญห้าวแหนบาท
สระทุกข์ราษฎร์รอนเสี้ยน
ส่ายเศิกเหลี้ยนล่งหล้า
ราญราบหน้าเภริน
เข็ญข่าวยินยอบตัว
ควบค้อมหัวไหว้ละล้าว
ทุกไทน้าวมาลย์น้อม
ขอออกอ้อมมาอ่อน
ผ่อนแผ่นดินให้ผาย
ขยายแผ่นฟ้าให้แผ้ว
เลี้ยงทแกล้วให้กล้า
พระยศไท้เทิดฟ้า
เฟื่องฟุ้งทศธรรม
ท่านแฮ
โคลงบทที่1
ขอความดีงามจงบังเกิดแก่แผ่นดินอันกว้างใหญ่ และประเสริฐยิ่งกว่าดินแดนในโลก จนอาจข่มสวรรค์แผ่นดินนั้นเปรียบดังเมืองสวรรค์ ณ ยอดเขาพระสุเมรุ และเป็นที่ค้ำจุนโลกอันกว้างใหญ่ แผ่นดินที่กล่าวถึงนี้คือกรุงศรีอยุธยาอันเรืองรุ่งโรจน์จับฟ้า และความสว่างรุ่งเรืองนั้นแจ้มแจ้งยิ่งกว่าแสงเดือน จะเปรียบได้ก็กับแสงตะวัน พระนครศรีอยุธยามีเสนาอำมาตย์คอยพิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงขจัดความทุกข์ของประชาราษฎร และทำลายข้าศึกให้สิ้นไป จนตลอดโลกก็ราบคาบเรียงดังหน้ากลอง บรรดาศัตรูเสี้ยนหนามเพียงได้ยินชื่อกรุงศรีอยุธยาก็พากันน้อมตัวกราบไหว้อยู่กันไสว เพราะความยำเกรงบรรดาเจ้าเมืองต่างๆก็ส่งดอกไม้เครื่องราชบรรณการมาถวายแด่พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาอันพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยานั้นได้ทรงขยายพระราชอาณาเขตให้กว้างขวางออกไป ทรงจัดให้บ้านเมืองมีความสุขสงบราบคาบ พระองค์ก็ทรงทำนุบำรุงบรรดาทวย
๒. อยุธยายศล่มแล้ว
ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร
เจิดหล้า
บุญเพรงพระหากสรรค์
ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
บังอบายเบิกฟ้า
ฝึกฟื้นใจเมืองโคลงบทที่2
กรุงศรีอยุธยาล่มสลายไปจากการเสียกรุง แต่ก็มีเมืองล่องลอยมาจากสวรรค์อันมีพระที่นั่งสถูปแก้วอันสวยงามด้วยบุญบารมีที่สั่งสมของพระเจ้าแผ่นดินก็ได้ทำนุบำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เปิดทางให้บ้านเมืองไปสู่ความดีงามและยังฟื้นเมืองให้ตื่นจากการหลับใหลหลังจากการเสียกรุง
๓.เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น
พันแสง
รินรสพระธรรมแสดง
ค่ำเช้า
เจดีย์ระดะแซง
เสียดยอด
ยลยิ่งแสงแก้วเก้า
แก่นหล้าหลากสวรรค์โคลงบทที่3
ความรุ่งเรืองของศาสนานั้นมีมากไปทั่วยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ ผู้คนได้รับพระธรรมจากการฟังธรรมอยู่เป็นประจำ เจดีย์มากมายได้ถูกสร้างขึ้นสูงตระหง่านฟ้ายอดเจดีย์สวยงามยิ่งกว่าแสงนพเก้า เสมือนเป็นหลักแห่งโลกและเป็นที่มหัศจรรย์แห่งสรวงสวรรค์
๔. โบสถ์ระเบียงมรฑปพื้น
ไพหาร
ธรรมาสน์ศาลาลาน
พระแผ้ว
หอไตรระฆังขาน
ภายค่ำ
ไขประทีปโคมแก้ว
ก่ำฟ้าเฟือนจันทร์โคลงบทที่4
โบสถ์ วิหาร ระเบียง ธรรมาสน์และศาลาต่างๆนั้น กว้างใหญ่ขยายไปถึงสวรรค์ หอพระไตรปิฎก เสียงระฆังในหอระฆังยามพลบค่ำ และแสงตะเกียงจากโคมอันมากมายนั้นสามารถทำให้แสงจันทร์สว่างน้อยลง
โคลงบทที่8
เมื่อจำต้องจากนางอันเป็นที่รักไปด้วยความอาลัยเหมือนกับต้องปลิดหัวใจของตนออกไปกับนาง ถ้าหากว่าดวงใจสามารถแบ่งออกได้ก็จะผ่าออกป็นสองซีก ซีกหนึ่งจะเก็บไว้กับตนเอง แต่อีกซีกหนึ่งจะมอบให้นางรักษาไว้
๑๐. โฉมควรจักฝากฟ้า
ฤาดิน ดีฤา
เกรงเทพไท้ธรณินทร์
ลอบกล้ำ
ฝากลมเลื่อนโฉมบิน
บนเล่า นะแม่
ลมจะชายชักช้ำ
ชอกเนื้อเรียมสงวนโคลงบทที่10
จะฝากนางไว้กับฟากฟ้าหรือผืนดินดี เพราะกลัวว่าพระเจ้าแผ่นดินจะมาลอบเชยชมนาง จะฝากนางไว้กับสายลมช่วยพัดพานางบินหนีไปบนฟ้า แต่ก็กลัวลมพัดทำให้ผิวนางมีรอยช้ำ
โคลงบทที่11
จะฝากนางไว้กับใครดี จะฝากนางไว้กับนางอุมาหรือชายาพระนารายณ์ ก็เกรงว่าจะเข้าใกล้ชิดนาง พี่คิดจนสามโลกจะล่วงลับไปก็คิดว่าจะฝากนางไว้ในใจตนเองดีกว่าฝากไว้กับคนอื่น
โคลงบทที่22
เดินทางมาโดยทางน้ำล่วงหน้ามาจนถึงตำบลบางยี่เรือ ขอให้เรือแผงช่วยพานางมาด้วย แต่บางยี่เรือไม่รับคำขอน้ำตาพี่จึงไหลนอง
โคลงบทที่37
เดินทางต่อไปจนถึงตำบลบางพ่อ ซึ่งน้ำแห้งเหือดจนมองไม่เห็น มีแต่บ่อน้ำตาที่คงเต็มไปด้วยเลือด พี่ก็อยากให้นางผู้มีความงาม๕ประการมาซับน้ำตาพี่แล้วค่อยจากไป
โคลงบทที่41
เห็นต้นแตกจากกิ่งก้านสลับกับต้นระกำ ทำให้ชอกช้ำระกำใจว่าเคยเป็นเวรกรรมที่คงเคยทำกันมาทำให้เราต้องจากกันไกล ขอให้ครั้งหน้าเราคงได้อยู่ร่วมกัน
๔๕. ชมแขคิดใช่หน้า
นวลนาง
เดือนดำหนิวงกลาง
ต่ายแต้ม
พิมพ์พักตร์แม่เพ็ญปราง
จักเปรียบ ใดเลย
ขำกว่าแขไขแย้ม
ยิ่งยิ้มอัปสรโคลงบทที่45
เป็นการเปรียบเทีนบของหน้านางกับดวงจันทร์ แต่ดวงจันทร์มีรอยตำหนิเป็นรอยกระต่าย แต่ใบหน้าของน้องนางสวยงามไม่มีตำหนิไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบ เพราะใบหน้าของน้องงามกว่าดวงจันทร์ ยิ่งมองยิ่งงามกว่านางฟ้า
๑๑๘. ถึงตระนาวตระหน่ำซ้ำ
สงสาร อรเอย
จรศึกโศกมานาน
เนิ่นช้า
เดินดงท่งทางละหาน
หิมเวศ
สารสั่งทุกหย่อมหญ้า
ย่านน้ำลานางโคลงบทที่118
เดินทางมาถึงตะนาวศรีความโศกเศร้าก็กระหน่ำซ้ำเติมเข้ามา ความโศกเศร้าที่จากนางไม่ว่าจะเดินผ่านทุ่งนา ป่า ท้องน้ำ หรือสถานที่ใด ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ ก็สามารถสั่งความไปถึงน้ำได้ตลอด
๑๒๒. พันเนตรภูวนาถตั้ง
ตาระวัง ใดฮา
พักตร์สี่แปดโสตฟัง
อื่นอื้อ
กฤษณนิทรเลอหลัง
นาคหลับ ฤาพ่อ
สองพิโยคร่ำรื้อ
เทพท้าวทำเมินโคลงบทที่122
ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ ผู้มีพันตา ผู้เฝ้าดูระวังโลก พระพรหมผู้มีสี่หน้าแปดหูที่คอยฟังสรรพเสียงใดๆ หรือจะเป็นพระนารายณ์ที่บรรทมอยู่หลังนาค เมื่อเราทั้งสองต้องพลัดพลากจากกัน เราสองคร่ำครวญอยู่ซ้ำซากแต่เทพพระองค์ก็ไม่สนใจ
โคลงบทที่134
แม่น้ำทั้ง 4 สายก็เหือดแห้ง เหล่าปลาใหญ่ มังกร พญานาคต่างพากันหาที่ซ้อนตัว แม้แต่หยาดฝน หยุดฝนก็ไม่มีสักหยด แดดก็ร้อนแต่ถึงแม้กายจะร้อนแต่ก็ไม่ร้อนเท่าใจของพี่
โคลงบทที่138
ลมที่พัดมาต้องอก(กาย)นั้นดังหนึ่งพิษ
ความหนาวกลุ้มอยู่ในนอกรู้สึกช้ำใจ
อ้า...น้องผู้ประหนึ่งพวงดอกไม้อันงามของข้า
น้องพัดให้ครั้งเดียวก็รู้สึกเย็นยิ่งกว่าลมพัด
โคลงบทที่139
ในอกของพี่นั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะระบายออกมาบรรยายให้น้องได้ทราบความรู้สึกของพี่นั้นมากมาย ดังนั้นพี่จึงเอาเขาสุเมรุมาเป็นปากกา เอามหาสมุทรเป็นน้ำหมึก แล้วเขียนเป็นตัวหนังสือในอากาศเป็นแผ่นกระดาษ จารึกลงไปก็ยังไม่พอ เพราะความรู้สีกของพี่นั้นมีมาก ผู้เลอโลมลงมาจากฟ้า จะรับรู้สึกในใจของพี่หรือไม่
๑๔๐. ตราบขุนคิริข้น
ขาดสลาย แลแม่
รักบ่หายตราบหาย
หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย
จากโลก ไปฤา
ไฟแล่นล้างสี่หล้า
ห่อนล้างอาลัยโคลงบทที่140
ภูเขาพังทลาย สวรรค์๖ชั้น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ จะหายไปในโลก ความรักของพี่นั้นก็ไม่หายไป ถึงไฟมาผลาญ ล้างทวีปทั้ง4 ก็สามารถล้างความอาลัยของพี่ได้
โคลงบทที่141
พี่ได้คร้ำครวญถึงความรักของพี่จนสั่นกึกก้องทั้งแผ่นดินและท้องฟ้า เป็นข้อความที่บรรยายถึงความโศกเศร้าของพี่ ข้อความเหล่านั้นขอให้น้องรับไว้เป็นต่างหน้าให้นึกถึงอดีตระหว่างเรา

ย่อเรื่อง นมัสการมาตาปิตุคุณและนมัสการอาจริยคุณ

ย่อเรื่อง นมัสการมาตาปิตุคุณและนมัสการอาจริยคุณ
1.ข้าพเจ้าขอกราบไหว้คุณของบิดา มารดา ผู้เลี้ยงดูมาจวบจนใหญ่ แม้ว่าจะเหนื่อยยากสักเพียงไร
ก็ไม่เคยคิดถึงความทุกข์เหล่านั้น ท่าคอยปกป้องทะนุถนอมตลอดมา ถ้าจะเปรียบบุญคุณของพ่อแม่แล้วก็
ดุจกับภูผา หรือผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ยังไม่เทียบเท่าสุดที่ลูกจะทดแทนได้ แท้จริงคือท่าคือปูชนียบุค
คลผู้เปี่ยมล้นด้วยบุญคุณอันสูงยิ่ง
2.ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระคุณครูผู้สั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้เรียนรู้ ทั้งบาปบุญคุณโทษ ครูสั่ง
สอนชี้แจงด้วยจิตใจอันเมตตากรุณา หวังให้ศิษย์มีความรู้และฉลาดหลักแหลม กำจัดความโง่เขลาให้หมด
สิ้นไป บุญคุณส่วนนี้นับว่าเลิศล้ำทั้งแดนไตร ซึ่งข้าพเจ้าระลึกและกราบไหว้ ในมงคลสูตร กล่าวถึงการ
ตอบแทนคุณของพ่อแม่ว่าเป็นมงคลสูงสุด คือ มาตาปิตุอุปฏฺฐานํเอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ บำรุงบิดมา- ตุระด้วย
หทัยปรีย์ ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
พระบรมศาสดายกย่องบิดามารดา ว่าเป็นบูรพาจารย์ของบุตร เป็นผู้มีอุปการคุณเหลือล้นพ้นคณนา จึง
ตรัสว่าเป็น อาหุเนยฺยบุคคล คือ เป็นผู้ควรสักการบูชา ของบุตร บุตรที่สำนึกรู้พระคุณของบิดามารดาตั้งใจ
สนองพระคุณท่าน พึงปฏิบัติบำรุงดังนี้
1.เลี้ยงดูท่านให้เป็นสุขทั้งกาย และใจ
2.ทำกิจของท่านแทนท่าน
3.ดำรงสกุล หมายความว่า ตั้งตนให้ชอบ มีเกียรติ มีความดี เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ทั้งนี้ทำ
ให้บิดามารดาอิ่มเอิ่บ ภูมิใจในบุตร4.ปฏิบัติสมควรเป็นผู้รับทรัพย์มรดก หมายถึง เป็นผู้มีความประ
พฤติดี ทำมาหาเลี้ยงชีพ ชอบตามครรลองของศาสนา ก็ จะสามารถครอบครองทรัพย์สมบัติมรดก ของพ่อแม่ ให้อยู่ต่อไปได้ด้วยดี
4.ทำบุญอุทิศให้ท่านเมื่อล่วงลับไปแล้ว ตามคติความเชื่อของศาสนา การทำบุญกุศลอยู่เนืองๆ
ย่อมส่งผลบุญให้แก่พ่อแม่ และขระเดียวกันย่อมส่งผลบุญให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติการเคารพพระ
คุณครู
ปูชา จ ปูชยานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
หนึ่งกราบและบูชา อภิบูชนีย์ชน
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
โลกนับว่าครูเป็นบัณฑิตแท้ เพราะอุดมด้วยความรู้ ปฏิบัติดีสั่งสอนศิษย์ ศิษย์เรียนรู้วิชาและ
เกิดปัญญาจากการที่มีครูสอน จึงควรเคารพบูชาครูทำให้ตนเกิดความเจริญด้วยประการทั้งปวง เพราะ
ครูมีกำลังใจถ่ายทอดความรู้ให้อย่างเต็มที่ แนะนำสั่งสอนชี้คุณโทษประโยชน์ต่างๆ อันเป็นหนทาง แห่งความเจริญก้าวหน้า
1.ข้าพเจ้าขอกราบไหว้คุณของบิดา มารดา ผู้เลี้ยงดูมาจวบจนใหญ่ แม้ว่าจะเหนื่อยยากสักเพียงไร
ก็ไม่เคยคิดถึงความทุกข์เหล่านั้น ท่าคอยปกป้องทะนุถนอมตลอดมา ถ้าจะเปรียบบุญคุณของพ่อแม่แล้วก็
ดุจกับภูผา หรือผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ยังไม่เทียบเท่าสุดที่ลูกจะทดแทนได้ แท้จริงคือท่าคือปูชนียบุค
คลผู้เปี่ยมล้นด้วยบุญคุณอันสูงยิ่ง
2.ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระคุณครูผู้สั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้เรียนรู้ ทั้งบาปบุญคุณโทษ ครูสั่ง
สอนชี้แจงด้วยจิตใจอันเมตตากรุณา หวังให้ศิษย์มีความรู้และฉลาดหลักแหลม กำจัดความโง่เขลาให้หมด
สิ้นไป บุญคุณส่วนนี้นับว่าเลิศล้ำทั้งแดนไตร ซึ่งข้าพเจ้าระลึกและกราบไหว้ ในมงคลสูตร กล่าวถึงการ
ตอบแทนคุณของพ่อแม่ว่าเป็นมงคลสูงสุด คือ มาตาปิตุอุปฏฺฐานํเอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ บำรุงบิดมา- ตุระด้วย
หทัยปรีย์ ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
พระบรมศาสดายกย่องบิดามารดา ว่าเป็นบูรพาจารย์ของบุตร เป็นผู้มีอุปการคุณเหลือล้นพ้นคณนา จึง
ตรัสว่าเป็น อาหุเนยฺยบุคคล คือ เป็นผู้ควรสักการบูชา ของบุตร บุตรที่สำนึกรู้พระคุณของบิดามารดาตั้งใจ
สนองพระคุณท่าน พึงปฏิบัติบำรุงดังนี้
1.เลี้ยงดูท่านให้เป็นสุขทั้งกาย และใจ
2.ทำกิจของท่านแทนท่าน
3.ดำรงสกุล หมายความว่า ตั้งตนให้ชอบ มีเกียรติ มีความดี เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ทั้งนี้ทำ
ให้บิดามารดาอิ่มเอิ่บ ภูมิใจในบุตร4.ปฏิบัติสมควรเป็นผู้รับทรัพย์มรดก หมายถึง เป็นผู้มีความประ
พฤติดี ทำมาหาเลี้ยงชีพ ชอบตามครรลองของศาสนา ก็ จะสามารถครอบครองทรัพย์สมบัติมรดก ของพ่อแม่ ให้อยู่ต่อไปได้ด้วยดี
4.ทำบุญอุทิศให้ท่านเมื่อล่วงลับไปแล้ว ตามคติความเชื่อของศาสนา การทำบุญกุศลอยู่เนืองๆ
ย่อมส่งผลบุญให้แก่พ่อแม่ และขระเดียวกันย่อมส่งผลบุญให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติการเคารพพระ
คุณครู
ปูชา จ ปูชยานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
หนึ่งกราบและบูชา อภิบูชนีย์ชน
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี
โลกนับว่าครูเป็นบัณฑิตแท้ เพราะอุดมด้วยความรู้ ปฏิบัติดีสั่งสอนศิษย์ ศิษย์เรียนรู้วิชาและ
เกิดปัญญาจากการที่มีครูสอน จึงควรเคารพบูชาครูทำให้ตนเกิดความเจริญด้วยประการทั้งปวง เพราะ
ครูมีกำลังใจถ่ายทอดความรู้ให้อย่างเต็มที่ แนะนำสั่งสอนชี้คุณโทษประโยชน์ต่างๆ อันเป็นหนทาง แห่งความเจริญก้าวหน้า

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ตำนานแห่ง “แอตแลนตีส” อารยะนครที่สาบสูญ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาว แอตแลนตีส ได้เปลี่ยนเป็นคนกักขฬะที่กระหายและอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ตัดสินพระทัยลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลันทันใด 50 ปีหลังจากที่เพลโตได้เสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 202 อนุชนรุ่นหลังและเหล่าศิษยานุศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่า อาณาจักรแอตแลนตีส ของเพลโตอยู่ที่ใดบนโลก และอาณาจักรนี้มีหรือไม่
อริสโตเติล (Aristotle) ผู้เป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของ แอตแลนตีสก็ยังคงปรากฏอยู่ โดยพวกที่เชื่อเรื่องนี้มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ท่านย่อมเขียนอย่างมีเหตุผล และกลั่นกรองว่ามีความถูกต้อง ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็มีมากมายเพราะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริง น่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงให้เห็นตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการเห็น แอตแลนตีส เลย
ถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใดเพลโต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ออกไป ซึ่งในปัจจุบันพิลาร์หรือเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม ดังนั้นเกาะสวรรค์ต่างๆ ที่ปรากฏในนวนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น
ในปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่โคลัมบัส (Columbus) ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ “ฟรานเซสโก โลเปส โด โกมารา” (Francesco Lopes do Gomara) ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West Indies) และทวีปอเมริกาคือแอตแลนตีส แต่ไม่นานความคิดที่ว่าอเมริกาคือ แอตแลนตีส ก็เริ่มหมดความเชื่อถือ
แต่คนหลายคนที่ยังคลั่งไคล้ในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่าที่หมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า “พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส” นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ “ดาร์ดาแนลเลส” (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนตีสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน

ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=637125

ตำนานแห่ง “แอตแลนตีส” อารยะนครที่สาบสูญ

อาณาจักรแห่งอารยธรรมจากบทบันทึกของ“เพลโต”
ย้อนอดีตไปเมื่อ 2,300 ปีก่อนนี้ได้มีนักปราชญ์ชาติกรีกผู้ยิ่งใหญ่ ท่านหนึ่งชื่อ "เพลโต" (Plato) ท่านได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ “ไทมาอุส” (Timaeus) และ “ครีตีอัส” (Critias) บทสนทนานี้ได้กล่าวถึงครีตีอัสผู้เป็นทวดของเพลโต ว่าปู่ของท่านซึ่งมีนามว่า ผู้เฒ่าครีตีอัส (Critias the Elder) ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ “ดรอพิเดส” (Dropides) เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อซาลอน (Solon) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ.10 (533 ปีก่อนคริตศักราช)ดรอพิเดสได้ยินได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์แห่งวิหาร Sais ในประเทศอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก ชื่อ “แอตแลนตีส” (Atlantis) อาณาจักรนี้ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากแต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะถูกคลื่นยักษ์ในทะเลไหลท่วมทับจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็นเกาะอีกเลย
ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของเทพโพเซดอน (Poseidon) แห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอนและทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน
เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของอาณาจักร แอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะ แอตแลนตีส ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไปได้ถึงใจกลางเมือง นอกจากนี้ชาวเมือง แอตแลนตีส ยังมีการศึกษา มีความสามารถด้านการทำสงครามและมีศีลธรรมสูง

เดี๋ยวมีต่อนะ
ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=637125

10 ข้อ นิสัยผู้ชายที่ผู้หญิงไม่ชอบ ไม่มีเสน่ห์ใครๆก็เบื่อ

1. อ่อนแอ งอแง เหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่มีลักษณะเป็นผู้นำ ไม่สามารถปกป้องใครได้ในชาตินี้

2. สกปรก มีกลิ่นกาย และไม่อินเทรนด์ ไม่รู้จักแฟชั่น ไม่รู้จักอะไรเลยในสังคม ล้าหลังตลอด

3. มีลักษณะเป็นผู้ตามตลอด เอาใจใครไม่เป็น งอนเก่งกว่าผู้หญิงชอบน้อยใจเป็นที่สุด

4. รูปร่างไม่สมาร์ทเลย ไม่เคยปรับปรุง ไม่ฉลาด ไม่ทันคน แถมยังว่าคนอื่นโง่ ตลอด

5. ในชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตามเพื่อนตลอดคิดเองไม่เป็นเลย แถมยังขี้เมารวมทั้งอวดเก่งอีกด้วย

6.ชอบนินทา ว่าร้ายคนอื่น ต่อหน้าแฟนบ่อย ๆหรือตลอดเวลาที่คนๆนั้นเดินผ่าน

7. ตระหนี่ ไม่สปอร์ตเลย เห็นแก่ตัว จิตใจแคบ

8. พูดแต่เรื่องไร้สาระวกวนแต่เรื่องเซ็กส์ ไม่สุภาพ ไม่อ่อนหวาน ชอบตะคอกเป็นชีวิตจิตใจ

9. ไม่เคยที่จะคิดปรับปรุงตัวเองในทางที่ดีขึ้น มายังไงก็ไปอย่างนั้น

10. ขี้เกียจทุกเรื่อง ทั้งงาน และเรียน ไม่เคยใส่ใจ ใช้แต่อารมณ์ กับแบขอเงินชาวบ้าน และแฟน

ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1055130

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

กฏ 14 ข้อ

1. ถ้าคุณรู้สึกว่ารถไฟฟ้าแน่น ให้ลองเดินเข้ามาข้างในตัวขบวนรถสักหน่อย คุณจะพบว่าช่วงกลางโล่งมากจนตั้งร้านกาแฟได้... คนขึ้นรถไฟฟ้าบ้านเราโรคจิต ชอบไปยืนอออยู่หน้าประตูหรือไม่ก็กอดเสาตรงกลางมันซะอย่างนั้น

2. เมื่อจะขึ้นรถเมล์ หลีกเลี่ยงป้ายที่อยู่เชิงสะพาน หรือมีรถเมล์ แท็กซี่ หรือรถตู้จอดรอกันมากๆ ป้ายที่ไม่ค่อยมีคนขึ้น ป้ายที่ถัดไปจะเป็นไฟแดง หรือป้ายแรก เมื่อพ้นไฟแดง - ป้ายพวกนี้รถเมล์ไม่ค่อยพยายามจอด ต่อให้คุณวิ่งไปโบกกลางถนนก็ตาม

3. ถ้าคุณถือของพะรุงพะรัง โอกาสที่คนข้างๆ คุณที่นั่งอยู่จะรับของไปถือให้ มีอัตราส่วนดังนี้
คุณเป็นผู้ชาย คนที่นั่งอยู่เป็นผู้หญิง โอกาส = 80%
คุณเป็นผู้หญิง คนที่นั่งอยู่เป็นผู้หญิง โอกาส = 70%
คุณเป็นผู้หญิง คนที่นั่งอยู่เป็นผู้ชาย โอกาส = 60%
คุณเป็นผู้ชาย คนที่นั่งอยู่เป็นผู้ชาย โอกาส = ต่ำกว่า 0%
อย่างน้อยในชีวิตนี้ บุญชิตฯ ยังไม่เคยเห็นผู้ชายรับของผู้ชายไปถือให้เลย

4. แท็กซี่ก็เหมือนความรัก... คือวันที่คุณมีความสุข อากาศดี รถไม่ค่อยติด หรือคุณไม่ต้องการ พวกเขา ก็จะปรากฏอยู่สลอนเต็มไปหมดจนรถเมล์ไม่เข้าป้าย แต่ถ้าวันไหนคุณรีบ ฝนตก รถค่อนข้างติด หรือเย็นแล้ว เมื่อคุณโบก พวกเขาก็จะไม่ยอมไป บ้างก็อ้างว่าต้อง ส่งกะ บ้างก็โบกมือไล่คุณเหมือนเห็นก้อนขี้ ร้ายกว่านั้นคือแล่นเลยไปเสียดื้อๆ

5. ร้านสเต็กในห้างบางร้านราคาไม่ถูกนัก สามารถ ไปกินสเต็กหรูๆ ได้สบาย ในขณะที่รสชาติไม่ดีอย่างที่คิด ควรเช็กราคาก่อนไปกิน

6. ผ้าเย็นในร้านอาหารส่วนใหญ่คิดตังค์ (และราคาไม่ค่อยสมเหตุสมผล) ถ้าคุณไม่รับมาก็ไม่เป็นไร เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างมือเอาดีกว่า

7. บางร้านเขาคิดค่าพริก ค่ามะนาวที่ขอเพิ่มด้วย ระวังให้ดี

8. การอดอาหารมา ไม่ทำให้กินบุฟเฟ่ต์ได้มากขึ้น ตรงกันข้าม มันจะทำให้คุณผวาเข้าหาอาการประเภทหนักท้องในช่วงต้นๆ แล้วหลังจากนั้นไม่ถึง 30 นาที มันจะทำให้อิ่มเร็วมาก ควรเปิดด้วยอาหารพวกเนื้อสัตว์ หรือซุปใส ส่วนพวกข้าว ซุปข้น ขนมปัง ของแป้งๆ ทั้งหลาย เก็บไว้กินช่วงกลางดีกว่า

9. เมื่อเจอร้านอาหารเล็กๆ ที่อร่อยมากๆ แต่ไม่ดัง หรือไม่ค่อยมีลูกค้า สิ่งที่ควรทำ หรือต้องทำอย่างยิ่งคือชวนเพื่อฝูงญาติมิตรมากินกันให้เยอะๆ เพราะหาไม่แล้ว... เมื่อคุณอยากกลับไปที่ร้านนั้นอีกครั้ง เขาอาจจะไม่อยู่แล้ว... บางทีรสชาติดีก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าคนไม่รู้จัก

10. เวลาราชการคือ 8.30 น. - 16.30 น. แต่เวลาที่ไม่ควรไปติดต่อราชการ เพราะไม่มีใครอยู่ทำให้ หรืออยู่แต่ก็ไม่เต็มใจทำ คือเวลาช่วง 8.30-9.00 น. ,11.00-12.00, 13.00-14.00 และหลัง 15.30 น.เป็นต้นไป

11. เมื่อเข้าไปติดต่อราชการ ให้ใช้การ "ไหว้" นำเข้าไปไหว้มันดะทุกโต๊ะ หมูหมากาไก่เด็กผู้ใหญ่ไหว้ให้หมด นึกว่าสวมวิญญาณ ส.ส. ไปก่อน การติดต่อนั้นจะราบรื่นขึ้น - ยังไม่ควรใช้เงิน เพราะถ้าเขาไม่รับ คุณจะมีปัญหาแน่ๆ

12. ฟังก์ชั่นในโทรศัพท์มือถือที่มีประโยชน์กว่าการถ่ายรูป แต่งเสียงเรียกเข้า ส่งข้อความคิกฃุ คือฟังก์ชั่นเตือนความจำ...หัดใช้ได้ดี แล้วชีวิตคุณจะง่ายขึ้น อย่างน้อยคนที่ติดต่อกับคุณก็รู้สึกดีในความตรงต่อเวลาของคุณ

13. ถ้าคุณถูกร้านค้า (อะไรก็ตาม) ดูถูกว่า คุณคงไม่มีปัญญาซื้อของหรอก หรือประเภทว่า ไม่ซื้ออย่ามาจับ หลายคนชอบที่จะซื้อประชด ซื้อเยอะซื้อแยะ เพื่อเป็นการตบหน้าคนขายให้หน้าชา ให้เขาเสียหน้าจนต้องโค้งแล้วโค้งอีกให้คุณ แต่รู้หรือไม่ ว่าคุณติดกับดักเขาไปแล้วเต็มๆ ผมเคยได้ยินว่าร้านขายของหรูบางร้าน จงใจเทรน พนักงานให้ดูถูกลูกค้า เพื่อหวังผลขายให้พวก เสียเงิน ตูไม่ว่า เสียหน้าข้าไม่ยอม... วิธีที่ดีที่สุดที่จะจัดการกับร้านพวกนี้ ... คือ อย่าไปซื้อของๆ มัน บอกเพื่อนฝูงญาติโกโหติกาของคุณด้วย

14. อย่าหัวเราะเยาะพนักงานมินิมาร์ต เวลาที่เขาถามคุณว่า รับโน่นรับนี่เพิ่มไหม อย่าคิดว่าเขาปัญญาอ่อน หรือเป็นนกแก้วนกขุนทอง ก็เขาและเธอเป็นแค่ลูกจ้าง ที่ต้องทำตามกฎตามคำสั่งของเขาเท่านั้นเอง ถ้าเขาไม่ชวนคุณรับซาละเปาไปกินกับถุงยางอนามัย เขาก็ถูกนายจ้างตำหนิ X คนที่ปัญญาอ่อนน่ะ คือคนที่คิดนโยบายนี้แล้วบังคับให้พวกเขาและเธอต้องพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองต่างหาก
วิธีที่ดีที่สุด คือตอบว่า "ไม่รับค่ะ/ไม่รับครับ"

ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=553199

เรียนรู้นิสัยของผู้ชาย

ผู้ชายเกือบทุกคนดำเนินชีวิตในแบบที่เชื่อว่า ตัวเองควรจะเดินไปตามกฎประหลาดๆ ซึ่งหากสุภาพสตรีท่านใดเรียนรู้ที่จะอดทน ต่อเพื่อนร่วมโลกต่างเพศเหล่านี้ได้ ก็ขอแสดงความยินดีว่า ชาตินี้คุณหาแฟนได้แน่ แต่ถ้าอ่านแล้ว หรือบางอย่างคุณอาจรู้อยู่แก่ใจแล้วด้วยซ้ำ ว่าพวกเขาเป็นแบบนี้ จะตัดสินใจไปบวชชี หรือมุ่งหน้าเรียนธรรมะให้มากขึ้นก็ไม่ว่ากัน เพราะใน Rules Men Live By บุรุษชาติอาชาไนย เขาใช้ชีวิตตามหลักเกณฑ์ตลกๆ ซึ่งเป็นอากัปกิริยาที่สาวน้อยอย่างเราๆ อาจรับได้บ้างหรือรับไม่ได้เลย ดังต่อไปนี้

กฎข้อที่ 1. เตรียมพร้อมเสมอที่จะออกรับแทนเพื่อนอย่างสุดชีวิต แม้จะต้องโกหกอย่างซึ่งๆ หน้ากับสาวคนไหนก็ตาม ผู้ชายพร้อมตายแทนเพื่อนได้เสมอ โดยเฉพาะหากแฟนสาว (ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด) กำลังตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรมเหลวแหลกของเพื่อนรักสนุกของเขา หนุ่มๆ ไม่มีวันหักหลังกันเองด้วยการนำเรื่องเสเพล (ขนาดไหนก็ตาม) ของเพื่อนมาเล่าให้แฟนของเพื่อนคนนั้นฟัง แม้ตัวเขาเองยังทนอาการจับปลามากกว่าสองมือของเพื่อนไม่ได้ แต่พวกเขาก็จะปกป้องกันไว้ก่อน กระทั่งฝ่ายหญิงจะจับได้ไล่ทันเอาเอง

กฎข้อที่ 2. จะไม่เอ่ยปากว่า ผมรักคุณทางโทรศัพท์ในที่ทำงาน แต่ถ้าคุณเคยได้ยินคำเหล่านี้ แสดงว่า น่าจะเป็น "ผมรักแม่ครับ" ซึ่งพอเดากันได้ไหมว่า เขากำลังคุยอยู่กับใครที่ปลายทาง

กฎข้อที่ 3. ถ้าเขาไปดูหนังกับบรรดาเพื่อนชายด้วยกัน สังเกตดูเถอะว่า พวกเขา จะไม่นั่งเก้าอี้ติดกัน แต่จะเว้นระยะห่างเอาไว้สักตัวหรือสองตัว เพื่อให้มีที่ว่างพอเหมาะสำหรับแต่ละคน

กฎข้อที่ 4. ผู้ชายจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือใส่ใจกับทรงผมของชายอื่น ซึ่งอาจจะใหม่เอี่ยมอ่อง เหมือนเพิ่งเดินออกมาจากร้าน หรือแม้ถ้าใครไว้ทรงแสนทุเรศทุรัง เขาก็ไม่สนใจ อย่างมากก็แค่ทักพอเป็นพิธีว่า ไว้ผมทรงใหม่หรือเพื่อนแต่หากหนุ่มคนไหน สนใจความสวยความงามของพวกเดียวกันเองขึ้นมาเมื่อไหร่ เล่นทายใจกันไหมว่า คุณเริ่มคิดแล้วว่า เขามีรสนิยมทางเพศแบบไหน ?

กฎข้อที่ 5. ไม่เคยวางสิ่งของในที่ที่มันสมควรจะอยู่ แปลอีกทีก็คือ ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะถ้าเขาเป็นคนประณีต แสดงว่า มีใครคอยทำให้ ไม่ใช่ทำได้เอง

กฎข้อที่ 6. ชายหนุ่มรู้จักแต่เวลา Male Standard Time หรือเวลามาตรฐานของเพศชาย ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะดำเนินชีวิตตามเวลามาตรฐานของผู้หญิง Female Standard Time เลยด้วยซ้ำ เหตุนี้เอง ทำให้พวกเขามักอ้างอะไรไร้เหตุผล อิสตรีพอฟังแล้วนอกจากไม่อยากให้อภัย ยังอยากตบซ้ำให้หายโมโหด้วยซ้ำไป

กฎข้อที่ 7. คิดแต่เรื่องเซ็กซ์วันละหลายเวลา แม้แต่ละวันจะมีอะไรให้ทำมากแล้ว ก็ยังไม่แคล้ววนเวียนเกี่ยวกับเซ็กซ์

กฎข้อที่ 8. เป็นพวกปากหนัก ไปไหนจะไม่กล้าถามทางแม้ตัวเองหลงทางก็ตาม

กฎข้อที่ 9. ชอบคาดหวัง ให้แฟนสาวช่วยจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง คิดว่า หน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูเป็นภาระของผู้หญิงฝ่ายเดียว ทั้งที่บ้านนั้นมันเป็นของเขาไม่ใช่ของเราสักหน่อย

กฎข้อที่ 10. ชอบแสดงความเห็น ในเรื่องที่คนอื่นกำลังถกเถียงกันอยู่ ทั้งที่ตัวเองก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แต่ขอสอ ใส่ เกือกเอาไว้ก่อน

กฎข้อที่ 11. หมั่นดูแลรถยนต์ ยิ่งกว่าผู้หญิงเอาใจใส่กับทรวดทรงองค์เอวของเธอเองซะอีก คงไม่แปลกใช่ไหม ถ้าจะบอกว่า ต่อให้ผู้ชายเลอะเทอะ หรือต้องคลุกฝุ่น เป็นคนมอมแมมขนาดไหน เขาย่อมคิดว่า ดีซะกว่าต้องแต่งตัวด้วยชุดสูทหรูหรา หรือต้องใส่เครื่องแบบอยู่ในชุดสำนักงานตลอดเวลา บางคนจำเป็นต้องใส่แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวไปทำงาน จนเกลียดสีขาวไปเลยก็มี

กฎข้อที่ 12. หลีกเลี่ยงการพูดถึงหัวข้อยอดนิยม ที่ผู้หญิงชอบซุบซิบนินทากัน เช่น การพูดถึงเรื่องร้านไหนลดราคา ?, แฟชั่นรับลมร้อนเป็นอย่างไร ? ไปจนกระทั่ง เธอรู้ไหมว่า ใครเป็นแฟนจูเลีย โรเบิร์ตส์ ? เขาจะมองว่า เรื่องกอซซิปทำนองนี้ มันช่างหนวกดูสิ้นดี

กฎข้อที่ 13. ผู้ชายมีเอกลักษณ์ของการรับรู้ที่จำกัด.... เกือบทุกเรื่อง ยกเว้น หากทำให้เขาหึงละก็ เชื่อไหมว่าการรับรู้ในด้านนี้ของผู้ชาย จะต่างกับผู้หญิงอย่างลิบลับเพราะผู้หญิงหึง เธอจะงอนอย่างมากไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ หรือจนกว่าจะมีเซ็กซ์ด้วยกันในครั้งต่อไป แต่ถ้าผู้ชายหึง ชาตินี้ก็ไม่มีวันลืม มันเหมือนไปหักด่านความเป็นหนึ่งของเขา ชายหนุ่มจะมองว่า ผู้หญิงควรใจกว้างหากเขาจะมีรักหลบๆซ่อนๆ แต่ถ้าให้เขาต้องรับมือกับเรื่องนี้บ้าง ผู้ชายจะใจแคบทันที

กฎข้อสุดท้าย ไม่มีวันที่จะเป็นฝ่ายบอกว่า ผมรักคุณก่อน จนกว่าผู้หญิงจะบอกรักเขา นั่นแหละถึงจะมีเสียงสะท้อนกลับว่า ผมก็รักคุณเช่นเดียวกัน
เรียนรู้กันไว้ จะได้ทำใจเสียแต่เนิ่นๆ

ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=880977